Search

ปรัชญากฎหมายไทยในยุครัตนโกสินทร์ (สมัยรัชกาลที่ 1)...

  • Share this:

ปรัชญากฎหมายไทยในยุครัตนโกสินทร์ (สมัยรัชกาลที่ 1)

แม้การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากยุคธนบุรีสู่ยุครัตนโกสินทร์จะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลข้ออ้างเกี่ยวกับการยึดมั่น ในอุดมการณ์พุทธราชาความเชื่อในอุดมการณ์ดังกล่าวก็หาได้พลอยถูกล้มล้างตามไปด้วยไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าตากสิน ได้รับการอธิบายให้เป็นเรื่องความบกพร่องของหลักการ จากการเป็นวีรกษัตริย์ที่กล้าหาญทางคุณธรรมในการกู้บ้านแปลงแผ่นดินขึ้นมาใหม่ หากบุพกรรมที่ตามทันก็บันดาล ให้พระองค์ทรงเปลี่ยนกลายไปเป็นพระมหากษัตริย์ที่คล้ายทมิฬหินชาติในช่วงปลายแผ่นดิน
การสืบต่ออุดมการณ์พุทธราชาหรือพระโพธิสัตว์จากยุคธนบุรีสู่ยุครัตนโกสินทร์ ดังกล่าวได้ดำเนินอยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรและหาได้จำกัดเพียงชั่วสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) หากความเข้มข้นในการยึดมั่นอุดมการณ์ความคิดดังกล่าวอาจมีระดับแตกต่างกันตามพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ ตราบจนเมื่อแผ่นดินไทยเริ่มเข้าสู่ยุคปฏิรูป ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) กระแสความคิดใหม่ทางพระพุทธศาสนาที่มีลักษณะทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเข้ามาแทนที่พร้อมๆ กับการที่มหาอำนาจตะวันตกได้เข้ามาแผ่อำนาจในสังคมไทย
รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้รวบรวมกฎหมายสมัยอยุธยาที่หลงเหลืออยู่กระจัดกระจายอยู่ตามหัวเมืองสำคัญ (อาทิ นครศรีธรรมราช นครราชสีมา หรือเพชรบูรณ์ ที่ไม่ได้เสียแก่พม่าคราวเสียกรุงอยุธยา) และนำมาชำระสะสางจนเกิดเป็นกฎหมายตราสามดวง ปรัชญาหรือจิตสำนึกทางกฎหมายตลอดจนนิติวิธีทางกฎหมายแบบของอยุธยาย่อมตกทอดสืบเนื่องมาด้วยพร้อม ๆ กับเนื้อหาบทบัญญัติกฎหมายของอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคงความยึดมั่นต่อ “พระธรรมศาสตร์” ซึ่งจัดเป็นส่วนแรกสุดของกฎหมายตราสามดวงต้องถือเป็นหลักฐานอันมั่นคงที่สุดของการดำรงอยู่แห่งปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยมในยุครัตนโกสินทร์
เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุของการเกิดกฎหมายตราสามดวง ความคิดแบบธรรมนิยมทางกฎหมาย ก็จะสะท้อนออกมาให้เราเห็นโดยนัยเช่นกัน ใน “ประกาศพระราชปรารภ” ซึ่งแสดงที่มาแห่งกฎหมายตราสามดวง ในกรณีข้อพิพาทคดีฟ้องหย่า กล่าวคือ นายบุญศรีร้องทุกข์ต่อในหลวงรัชกาลที่ 1 ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการตัดสินคดีฟ้องหย่า โดยที่ อำแดงป้อมภรรยานายบุญศรี นอกใจทำชู้ แล้วมาฟ้องหย่าจากนายบุญศรี ศาลหลวงยังมาพิพากษาให้อำแดงป้อมชนะคดี ฟ้องหย่าได้โดยอาศัยหลักกฎหมายเก่าที่ว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้” ในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงเห็นด้วยกับร้องทุกข์ โดยตรัสว่า “หญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่าชายลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหาเป็นยุติธรรมไม่” ต่อจึงมีพระบรมราชโองการให้ตรวจสอบกฎหมายที่ใช้ในการตัดสินก็ปรากฏว่า บทกฎหมายเป็นไปดังที่ศาลหลวงใช้ในการตัดสินเช่นนั้นจริง ๆ
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ ก็คือสถานการณ์ที่พระราชวินิจฉัย เรื่องความยุติธรรมของพระมหากษัตริย์เกิดขัดแย้งกับตัวบทกฎหมาย เพราะหากถือเอาทฤษฎีอำนาจเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย พระองค์ทรงปฏิเสธและมองข้ามกฎหมายนั้น ๆ ได้โดยสิ้นเชิง แต่หากเนื่องจากโดยโบราณราชนิติถือเอาธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายจึงทำให้เกิดข้อกังขาในสภาพความสมบูรณ์ถูกต้องและความชอบธรรมของตัวบทกฎหมายดังกล่าว ค่าที่ถือเอากฎหมายเป็นเรื่องธรรมะหรือความถูกต้องที่โบราณราชกษัตริย์บัญญัติขึ้นตามหลักพระธรรมศาสตร์ ประเด็นความบกพร่อง ในตัวกฎหมายเช่นกล่าวจึงได้รับการให้เหตุผลว่า หาใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เราไม่ หากเป็นกฎที่ “ฟั่นเฟือนวิปริต” ขึ้นในภายหลังท่าทีของ รัชกาลที่1 ต่อบทบัญญัติกฎหมายเก่าที่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย
ในทรรศนะของร. แลงกาต์ (R. Lingat) เห็นว่า ในทางทฤษฎีแล้ว “พระมหากษัตริย์ไม่อาจร่างกฎหมายด้วยพระองค์เอง” พระองค์ต้องทรงแสร้งชำระแม่บทกฎหมายเพื่อแก้ไขบัญญัติกฎหมายที่จำเป็นให้สอดคล้องกับความคิดทางสังคมและศีลธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หากการยกเลิกกฎหมายโบราณเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ทรงทำได้ในความเป็นจริงอำนาจในการบัญญัติกฎหมายก็คงเป็นไปในลักษณะเดียวกัน แม้ว่าในทางทฤษฎีหรือปรัชญากฎหมายของบ้านเมืองจะมีกรอบจำกัดหรือควบคุมการใช้พระราชอำนาจทางกฎหมายอยู่ก็ตาม ในท้ายที่สุดช่องว่างหรือความลักลั่นในทางทฤษฎีและปฏิบัติข้างต้นจะปรากฏมากเพียงใดก็คงแปรผันไปตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ อันรวมทั้งความเข้มแข็งในทางอำนาจบารมีทั้งทางคุณธรรมส่วนพระองค์และทางการเมือง
กฎหมายตราสามดวงที่ชำระขึ้นมาใหม่ จะมีลักษณะยืนยันความเป็นสมมุติเทวดา (สมมุติเทพ) ของพระมหากษัตริย์ดังคำกล่าวที่ว่า พระราชโองการด้วยกิจสิ่งใดมีอนุภาพดุจดังขวานฟ้าที่ทรงอภินิหาร หากความยึดมั่นเชื่อถือในกฎหมายนี้กลับไม่ปรากฏชัดเจนในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นผู้โปรดให้ชำระรวบรวมกฎหมายเก่าของอยุธยาที่ยังหลงเหลืออยู่โดยเฉพาะในช่วงต้น ๆ รัชกาล พระพุทธนิยมซึ่ง รัชกาลที่ 1โปรดให้รื้อฟื้นขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างจริงจัง ความสนพระทัยอย่างมากในพระพุทธศาสนาของ รัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มุ่งหนักไปด้านสติปัญญา อันอาจถือเป็นปฏิกิริยาที่ทรงปฏิบัติให้ต้านกับการประพฤติปฏิบัติของพระเจ้าตากสิน พระราชกรณียกิจทางด้านศาสนาของพระองค์มีปรากฏให้เห็นประจักษ์หลาย ๆ ด้าน อาทิ การสังคายนาพระไตรปิฎก การโปรดให้แต่งไตรภูมิโลกวินิจฉัยหรือการสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ จุดยืนอันมั่นคงในการยึดมั่นพระพุทธศาสนาได้มีส่วนเข้ามามีบทบาทกำหนดความเคลื่อนไหวทางด้านกฎหมาย ที่น่าสนใจหลาย ๆ เรื่องในรัชสมัยของพระองค์ (รัชกาลที่ 1) ล้วนสะท้อนอุดมการณ์พุทธราชาของพระองค์ ความข้อนี้อาจพิจารณาได้จากบทบัญญัติหลาย ๆ ตอน ใน “พระราชกำหนดใหม่” อาทิ เช่น
1.การห้ามมิให้นับถือพระภูมิเจ้าที่ เทพารักษ์ ยิ่งกว่าพระไตรสรณาคม (พระรัตนตรัย)
ห้ามมิให้ฆ่าสัตว์เพื่อพลีบูชาพระภูมิ ผีสางต่าง ๆ เหตุผลก็เพื่อให้ประชาชนยึดมั่นในพระรัตนตรัยแทนที่จะไปฝากความหวังไว้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะของความงมงายเป็นการกระทำซึ่งมีที่มาจากคนพาลกักฬะ เพื่อเยาะเย้ยหญิงแม่มด อันมีมารยาทและคนรุ่นหลังที่ไม่รู้งมงายถือปฏิบัติ
2.พระราชโอวาทกำหนดให้ขุนนางใหญ่น้อยและประชาชนทั่วไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
โดยการประพฤติปฏิบัติตนตั้งอยู่ใน “ทศกุศลกรรมบถ” ซึ่งถือเป็น “วิไนยฆราวาษ” ตลอดจนบำเพ็ญทานรักษาศีลต่าง ๆ กฎหมายฉบับนี้ตราขึ้น พ.ศ. 2325
3.การเปลี่ยนแปลงพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา โดยให้ขุนนางใหญ่น้อยกระทำการเคารพ
บูชาพระรัตนตรัย เป็นเบื้องแรก แทนที่ประเพณีเดิมที่เริ่มจากการให้เคารพนับถือพระเชษฐบิดรหรือพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ เหตุผลที่ที่ออกกฎหมายแก้ไขธรรมเนียมปฏิบัติด้าน การแสดงความเคารพก็เพราะเห็นว่าธรรมเนียมปฏิบัติเดิมไม่ถูกต้องที่ให้ความสำคัญต่อพระพุทธรูป พระมหากษัตริย์สูงกว่าพระรัตนตรัยถือเป็นมัจฉาทิษฐิ สร้างความหม่นหมองต่อพระไตรสรณะคม เมื่อพิจารณาโดยสาระแล้ว การบัญญัติกฎหมายนี้ย่อมจัดเป็นการรับรองฐานะของธรรมะหรือสัญลักษณ์แห่งธรรมะให้อยู่สูงกว่ารัฐหรือ
องค์รัฐาธิปัตย์
อย่างไรก็ตาม มีปรัชญากฎหมายไทยที่แสดงออกจากกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยตรงจะมีลักษณะพุทธนิยมอย่างสูง ถึงขนาดมีอิทธิพลต่อการตรากฎหมายบังคับให้ประชาชนถือศีล 5 หรือยึดมั่น “ทศกุศลกรรมบท”
ข้อสังเกต ต่อเรื่องความจริงจังหรือความสืบเนื่องในอิทธิพลความคิดแบบพุทธนิยม ในปรัชญากฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ดูยังเป็นปัญหาอยู่ 3 ประการ คือ
ประการแรก โทษประหารชีวิตหรือโทษถึงตายยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในกฎหมายบางบทในพระราชกำหนดใหม่อยู่ทั้ง ๆ ที่มีกฎหมายย้ำความสำคัญของศีลข้อปาณาติมาต ทั้งนี้คงมิพักต้องกล่าวถึงกฎหมาย อันมีบทลงโทษอันรุนแรงต่าง ๆ สมัยอยุธยาที่ไม่ได้ถูกชำระสะสางยกเลิกไปแต่อย่างใดในรัชกาลนี้
ประการที่สอง ถึงแม้จะมีกฎหมายบางฉบับเกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้เล่นการพนันหลาย ๆ ชนิด เช่นการชนไก่ ชนนก กัดปลา พร้อมเหตุผลสนับสนุนในแง่หลักธรรมศาสนา หากจริง ๆ แล้วก็ยังมีกฎหมายรับรองให้มีการเล่นการพนันตามโรงบ่อนเบี้ยอยู่อันถือเป็นแหล่งรายได้ของแผ่นดินจากค่าอากรบ่อนเบี้ย
ประการที่สาม การเน้นความสำคัญของพุทธธรรมในกฎหมายอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายที่มีลักษณะบังคับประชาชนให้ปฏิบัติธรรม แม้ตัวกฎหมายจะไม่ได้บัญญัติบทลงโทษอันชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องน่าคิดอยู่มากว่า การใช้อำนาจรัฐข่มขู่บังคับผู้คนให้ถือศีลปฏิบัติธรรมจะเป็นความสอดคล้องชอบด้วยหลักแห่ง เมตตาธรรม อุดมคติของพระโพธิสัตว์ กระนั้นหรือ การใช้ศาสตร์กำกับการถือศีลภาวนาดู ๆ แล้วไม่น่าจะเป็นวิถีแห่งพระมหากษัตริย์ที่ยึดถือในอุดมคติพระโพธิสัตว์
ดังนั้นเมื่อสรุปรวมความแล้วปรัชญากฎหมายไทยสมัยรัชกาลที่ 1 แม้เป็นปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยม แต่ก็เป็นธรรมะที่ยังมีการผสมผสานระหว่างคติความคิดแบบพุทธ พราหมณ์และภูติผีไสยศาสตร์ เพียงแต่สัดส่วนการผสมผสานเปลี่ยนไปในทางเน้นความสำคัญของพุทธธรรมแบบบริสุทธิ์หรือมนุษย์นิยมมากขึ้น ขณะเดียวกันผลสืบเนื่องที่พุทธธรรมนิยมได้เข้ามามีบทบาทต่อความคิดและการกระทำของผู้นำรัฐอย่างจริงจังมากขึ้น
หลังยุคสมัยของ รัชกาลที่1 กระแสสูงของปรัชญากฎหมายแบบพุทธธรรมนิยมคงได้รับการสืบเนื่องในแผ่นดินต่อ ๆ มาของต้นราชวงศ์จักรีวงศ์ แม้ความจำเป็นทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมโดยอาศัยหลักยพุทธธรรมจะลดน้อยลง โดยเปรียบเทียบจากผลงานของรัชกาลที่ 1


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts